วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา

สุนทร   ตรีนันทวัน
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเทคโนโลยีการศึกษา สสวท.
สอบถามเพิ่มเติม E-mail : strin@ipst.ac.th
         เราคงจะเคยได้ยินกันบ่อยกับคำพูดที่ว่า น้ำมันปลา   น้ำมันตับปลา  กรดไขมันโอเมก้า 3 และหลายคนคงจะสงสัย และเกิดคำถามขึ้นว่า  น้ำมันปลา กับน้ำมันตับปลา  คืออะไร  เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร  และกรดไขมันโอเมก้า 3  เกี่ยวข้องอะไรกับน้ำมันทั้งสองอย่าง  ผมก็จะชี้แจงและสรุปเรื่องนี้เพื่อความเข้าใจด้วยกันนะครับ  ที่จริงมีหนังสือ  เอกสาร บทความ และ นิตยสารต่างๆ  รวมทั้งเว็บไซท์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้
          น้ำมันปลา (Fish Oil)   คือน้ำมันที่สกัดได้จากส่วน   เนื้อ  หัว  หาง  หนัง ของปลาทะเลน้ำลึก  เช่น  ปลาแซลมอน  ปลาแมคคอเรล  ปลาทูน่า  ปลาซาร์ดีน  ปลาเฮอร์ริง  ปลาค๊อด ปลาโฮกิ  เป็นต้น  น้ำมันปลาจะอุดมไปด้วย  กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential Fatty Acid)  ซึ่งร่างกายของคนเรามีความจำเป็นที่ต้องใช้ และต้องได้รับจากอาหารที่บริโภคเท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ  กรดไขมันที่จำเป็นดังกล่าวนี้ เช่น  กรดไขมันโอเมก้า 3  ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว  กรดไขมันในกลุ่มของโอเมก้า 3  ที่สำคัญ 2 ชนิด  ซึ่งเรียกย่อๆสั้นๆ คือ
1. อีพีเอ (EPA – Eicosapentaenoic acid)  มีคุณสมบัติช่วยลด ไตรกลีเซอร์ไรด์  ช่วยลดการอุดตันของหลอดเลือด และช่วยป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมองและหัวใจขาดเลือด
          2. ดีเอชเอ (DHA – Decosahexaenoic acid)  เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลสมอง และดวงตา ตลอดจนช่วยเสริมสร้างการพัฒนาการของสมอง และระบบสายตา
          น้ำมันตับปลา  (Cod Liver Ouil)    คือน้ำมันที่สกัดได้จาก ตับ  ของปลาทะเลน้ำลึกดังกล่าวเช่นกัน   เป็นแหล่งสำคัญที่ให้ วิตามิน เอ  ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของดวงตาบำรุงผิว  และ วิตามิน ดี  ช่วยการดูดซึมแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส บริเวณลำไส้เข้าสู่ร่างกาย  ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกให้เป็นไปอย่างปกติ
           จากเว็บไซท์  http://variety.thaiza.com  ได้เผยแพร่ให้ทราบว่า  ชาวเอสกิโมที่อาศัยอยู่แถบหมู่เกาะกรีนแลนด์ มีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหัวใจและข้ออักเสบต่ำ
................................
                เว็บไซต์ ข้อมูลอ้างอิง1.http://www.foodsciencetoday.com2.http://www.bangkokhealth.com3.http://www.xten-life.co.th4.http://www.mcot.net5.http://www.meedee.net6.http://www.google.co.th

สารรสหวานแทนน้ำตาล

สุนทร   ตรีนันทวัน
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเทคโนโลยีการศึกษา สสวท.
สอบถามเพิ่มเติม E-mail : strin@ipst.ac.th
        รสหวานของอาหาร เป็นสิ่งที่พึงพอใจของมนุษย์มาช้านาน  สารปรุงแต่งรสหวานที่ใช้กัน  เป็นที่รู้จักของมนุษย์อย่างแพร่หลาย  เช่น  น้ำตาล  น้ำผึ้ง  ชะเอม  น้ำผลไม้ที่มีรสหวาน  เป็นต้น  การใช้สารรสหวาน เช่น น้ำตาลทราย  ในปัจจุบันก่อให้เกิดปัญหาหลายอย่าง  เช่น  เป็นสารที่ให้พลังงานมาก  ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน  โรคอ้วน  โรคหัวใจ  แต่อย่างไรก็ตามสารรสหวานก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้อยู่  เพื่อปรุงแต่งรสของยาบางชนิด  เช่น ยาสีฟัน  ยาอมบ้วนปาก  ยาแก้ไอ ตลอดจนการปรุงแต่งรสอาหารที่ผู้ป่วยเบาหวาน  ผู้ต้องการลดน้ำหนัก ต้องการบริโภค ด้วยเหตุนี้จึงมีการเสาะแสวงหาสารสหวาน  เพื่อใช้แทนน้ำตาล  บางครั้งเรียกว่า  น้ำตาลเทียม
        สารรสหวานแทนน้ำตาล  เป็นสารที่ให้ความหวานเหมือนกันทั้งหมด  บางชนิดหวานน้อย  บางชนิดก็หวานมาก  หวานกว่าน้ำตาลทรายหลายร้อยเท่า
สารรสหวาน  แบ่งใหญ่ ๆ เป็น 2 ประเภท
        1. สารรสหวานที่ให้พลังงาน  เป็นสารรสหวานที่ได้จากธรรมชาติ  เมื่อรับประทานแล้วจะให้พลังงานแก่ร่างกาย  สารรสหวานกลุ่มนี้ให้พลังงานถึง 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม  จึงไม่เหมาะที่จะใช้บริโภคในกรณีที่ต้องการลดน้ำหนัก  หรือในผู้ป่วยโรคเบาหวาน  หรือความดันโลหิตสูง สารรสหวานกลุ่มนี้เรารู้จักกันเป็นอย่างดี  ได้แก่  น้ำตาลทราย  น้ำตาลนม   น้ำตาลมอลโตส  น้ำตาลกลูโคส  และน้ำตาลฟรุคโตส  เป็นต้น
        เนื่องจากน้ำตาลฟรุคโตส  มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 1.7 เท่า ในปัจจุบันจึงได้มีการผลิตน้ำเชื่อมชนิดที่มี ฟรุตโตสมาก (High fructose syrup) มาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้การใช้น้ำตาลทรายในวงการอุตสาหกรรมบางอย่างลดลง        
        2. สารรสหวานที่ไม่ให้พลังงาน  เป็นสารรสหวานที่รับประทานแล้ว จะไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย และไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย  เพียงแต่เรามีความรู้สึกว่าหวานเมื่อรับประทาน  สารรสหวานที่ไม่ให้พลังงานนี้ส่วนใหญ่จะได้มาจากกการสังเคราะห์  มีเพียงส่วนน้อยที่ได้มาจากธรรมชาติ  สารกลุ่มนี้ เช่น
         แซคคารีน (Saccharin)  เป็นสารรสหวานที่สังเคราะห์ขึ้น  และรู้จักกันมานานแล้ว  ปัจจุบันนี้เรียกว่า  ขัณฑสกร  หรือบางครั้งเรียกว่า  น้ำตาลกรวด  มีรสหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 500 เท่า  มีลักษณะเป็นเกล็ดหรือผลึกสีขาวขุ่น  ละลายน้ำได้  เมื่อบริโภคจะรู้สึกหวานติดลิ้น หรือหวานติดคอ  ที่สำคัญคือเป็นสารให้รสหวานโดยไม่ให้พลังงาน  ในปัจจุบันพบว่า  แซคคาริน  ทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง  หลายประเทศจึงห้ามใช้แซคคารินผสมลงในอาหาร  สำหรับประเทศไทย  กระทรวงสาธารณสุข  ห้ามใช้แซคคารินกับอาหาร  เพราะไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกาย  ห้ามใส่ในเครื่องปรุงรส   น้ำปลา  ซอส  ซีอิ้ว  ผลิตภัณฑ์นม  เป็นต้น  กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้ใช้แซคคารินในเครื่องดื่ม  สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคอ้วน  แต่ใช้ในปริมาณที่น้อย
         แอสปาเทม (Aspartame ) เป็นสารให้ความหวานอีกชนิดหนึ่งมีรสหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 180 – 200 เท่า  มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวปราศจากกลิ่นละลายน้ำได้ดี  ให้ความหวานคล้ายคลึงกับน้ำตาลตามธรรมชาติมาก จึงนำมาใช้แทนน้ำตาลได้  แต่แอสปาเทมจะสลายตัวในน้ำเดือด  จึงไม่สามารถเก็บไว้ได้ในที่มีมีอุณหภูมิสูง ๆ ไม่เหมาะกับอาหารที่ต้องใช้ความร้อนมาก
         ปกติคนเราทั่ว ๆ ไป  จะบริโภคน้ำตาลจากธรรมชาติ  เช่น  น้ำทรายตาล  น้ำตาลปึกหรือน้ำตาลปี๊บ  ประมาณ 100 – 150 กรัม  ดังนั้นปริมาณที่ให้ความหวานเท่ากับน้ำตาลดังกล่าว  จะใช้แอสปาเทม ประมาณ 0.5 – 0.8 กรัม  การบริโภคแอสปาเทมเฉลี่ยไม่ควรเกิน  0.5 กรัมต่อคนต่อวัน
         อีควอล (Equal)  คำนี้เป็นชื่อทางการค้าชนิดหนึ่งของผลิตภัณฑ์แอสปาเทม  ซึ่งเราจะได้ยินคำนี้กันบ่อย ๆ มีขายตามร้านค้าที่ขายกาแฟ ขายน้ำตาลต่าง ๆ โดยจะใส่ซองเล็ก ๆ ใช้ปรุงแต่งรสหวานในเครื่องดื่ม   เช่น  กาแฟ ชา    อีควอลที่จำหน่ายนั้นมี  2  ลักษณะคือ  ชนิดผงบรรจุซอง มีแอสปาเทม ซองละ   38   มิลลิกรัม  ใช้แทนน้ำตาลทราย ได้เท่ากับ 2 ช้อนชา และชนิดเม็ด มีแอสปาเทม เม็ดละ 19 มิลลิกรัม  ใช้แทนน้ำตาลทรายได้เท่ากับ 1 ช้อนชา  อีควอลเป็นสารรสหวานแทนน้ำตาลที่ปลอดภัย   เหมาะสมในการใช้ผสมในเครื่องดื่มหรือในอาหารรสหวานที่ปรุงสำเร็จ
         ซอบิทอล (Sorbitol)  เป็นสารที่มีรสหวานน้อยกว่าน้ำตาลทราย  คือ มีรสหวานประมาณ  0.5 เท่าของน้ำตาลทราย ในปัจจุบันนี้ยังมีใช้กันอยู่ทั่วไป
         ไซลิทอล (Xylitol)  เป็นสารที่มีรสหวานมากกว่าน้ำทรายทรายประมาณ 20 – 50 เท่า  ละลายได้ในน้ำและทนต่อความร้อน
         โซเดี่ยมไซคลาเมท (Sodium cyclamate)  เป็นสารที่มีรสหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 30 เท่า แต่ปัจจุบันนี้พบว่าสารนี้   ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะของหนู  ทางราชการจึงห้ามใช้สารรสหวานชนิดนี้นี้
         กลีไซไรซิน (Glycyrrhizin)  เป็นสารรสหวานที่ได้จากพืชคือชะเอมเป็นพืชที่เรารู้จักกันดีมานานแล้ว  น้ำยาสกัดของรากชะเอมมีรสหวาน  จึงใช้ผสมในยาแก้ไอ  ลูกอม  ลูกกวาด  มีรสหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 50 เท่า การบริโภคสารนี้นาน ๆ ทำให้เกิดอาการบวม เพราะทำให้เกิดคั่งค้างของเกลือโซเดี่ยมในเซลล์  ทำให้ความดันเลือดสูง  แต่ก็ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ได้
         หล่อฮังก้วย (Lo Han Kua)  เป็นต้นไม้ที่ชาวจีนใช้เปลือก  และเนื้อจากผลเป็นยาแก้หวัด  เจ็บคอ  สารรสหวานในเปลือกและเนื้อของผล คือ โมโกรไซด์ (Mogrosides) มีรสหวานกว่าน้ำตาลทราย 150 - 200 เท่า
         หญ้าหวาน  (Stevioside)  เป็นพืชที่มีสารรสหวาน คือ  สตีวิโอไซด์ (Steviosides) ที่มีรสหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 200 – 300 เท่า  รสหวานคล้ายชะเอม  ในเมืองไทย หญ้าหวานปลูกกันมากทางภาคเหนือ  สารรสหวานนี้ใช้แต่งรสของผักดอง  ซอส  ลูกกวาด  หัวไชเท้า  เปลือกมะนาวแห้ง  และใช้ใส่ในเครื่องดื่ม  เช่น ชา  กาแฟ
         สารรสหวานในกลุ่มนี้ที่ได้จากพืชในธรรมชาติมีอยู่หลายชนิด  ที่มีอยู่ในประเทศไทย
........................................
                                                                เว็บไซต์ข้อมูลอ้างอิง                               1. http://www.uniserve.buu.ac.th                                                2. http://dental.anamai.moph.go.th                                                3. http://www.pharm.chula.ac.th                                                4. http://www.bangkokhealth.com                                                5. http://www.thaigoodveiw.com 
                6. http://th.wikipedia.org/wiki

ทำไมสัตว์จึงต้องลอกคราบ

สุนทร   ตรีนันทวัน
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเทคโนโลยีการศึกษา สสวท.
สอบถามเพิ่มเติม E-mail : strin@ipst.ac.th
               สิ่งมีชีวิตในโลกนี้มีจำนวนมากมาย  มีรูปร่างและโครงสร้างที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิด  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีการเจริญเติบโต  มีโครงสร้างและรูปร่างใหญ่ขึ้น  การเจริญของสัตว์บางชนิดเมื่อเจริญถึงระยะหนึ่งสัตว์ชนิดนั้นจะเจริญเติบโตต่อไปไม่ได้ เช่น พวกแมลงต่างๆเพราะมีโครงร่างแข็งห่อหุ้มลำตัวการเจริญเติบโตของร่างกายจึงมีขีดจำกัดร่างกายเจริญเติบโตต่อไปไม่ได้  จึงต้องสลัดหรือลอกโครงร่างแข็งเดิมออก จึงสร้างลำตัวใหม่ให้เจริญเติบโตต่อไปได้อีก นอกจากนี้ก็ยังมีสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิดการเจริญเติบโตจะต้องสลัดผิวหนังเดิมออกร่างกายจึงจะเจริญเติบโตต่อไปได้อีก  ซึ่งเรียกว่า การลอกคราบ  (Molting หรือ  ecdysis)  การลอกคราบแต่ละครั้งจะทำให้สัตว์นั้นๆเจริญเติบโตต่อไปได้
               สัตว์พวกนี้เมื่อมีอายุมากขึ้น  ร่างกายก็จะเจริญเติบโตขยายขนาดใหญ่ขึ้น  เนื่อเยื่อภายในก็จะเริ่มสร้างโครงร่างใหม่ หรือผิวหนังใหม่เติบโตอยู่ใต้โครงร่างเดิม   จึงต้องลอกคราบหรือสลัดโครงร่างเดิมหรือผนังเดิมออกไปเพื่อที่จะทำให้สัตว์นั้นๆเจริญเติบโตขยายขนาดต่อไปได้            
               ส่วนสัตว์จำพวกงูนั้นก็จะสร้างผิวหนังใหม่ขึ้นมาอยู่ใต้ผิวหนังเดิม และต่อมาก็จะมีการลอกคราบเช่นกันโดยสลัดผิวหนังเดิมออกไป
สัตว์ที่มีการลอกคราบส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังพวกหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษ  คือสัตว์ที่อยู่ในไฟลัม อาร์โทรโปดา (Arthopoda)  ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะ คือ  มีระยางค์เป็นปล้องๆ  มีโครงสร้างแข็งห่อหุ้มอยู่ภายนอก หรือที่เรียกกันว่ามีโครงกระดูกแข็งอยู่ภายนอกลำตัว (Exoskeleton)  ได้แก่  แมลงต่างๆ  แมงมุม  ปู  ตะขาบ กิ้งกือ ตั๊กแตน  ด้วง  มวน    และตัวอ่อนหรือตัวหนอนไหม  หนอนด้วง  หนอนผีเสื้อ  และยังมีสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังอีกบางชนิดที่มีการเจริญเติบโตโดยมีการลอกคราบ  เช่น งู ต่าง ๆ  ฯลฯ
               ในบางครั้งเราคงจะเคยเห็นคราบของแมลงต่าง ๆ กันมาบ้างแล้ว  เช่น  คราบของแมงมุม  คราบของหนอนไหม  คราบของจักจั่นที่เกาะอยู่ตามต้นไม่  คราบของตัวอ่อนแมลงปอ และคงจะเคยเห็นหรือเคยไดยินมาแล้ว  คือ  ปูนิ่ม  เป็นปูที่เพิ่งลอกคราบใหม่ๆนั่นเอง
               ปกติแล้วสัตว์ที่ลอกคราบใหม่ๆ จะยังไม่แข็งแรง  สัตว์พวกนี้จะอยู่นิ่งๆระยะหนึ่ง  จึงจะเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกเหมือนเดิม  ในระยะนี้โครงสร้างใหม่นั้นยังอ่อนนิ่ม  ร่างกายจึงสมารถเจริญเติบโตขยายขนาดต่อไปได้อีกและเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกเหมือนเดิม  จนถึงระยะหนึ่งก็จะต้องลอกคราบใหม่อีกซึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์เหล่านี้
------------------------------------
เว็บไซต์ข้อมูลอ้างอิง
   1. http://www.lks.ac.th                                                            2. http://th.wikipedia.org                                                            3. http://maceducation.com                                                            4. http://guru.sanook.com                                                            5. http://binturong.multiply.com                                                            6. http://kanchanapisek.or.th

ภัยเงียบจาก คอมพิวเตอร์

สุนทร   ตรีนันทวัน
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเทคโนโลยีการศึกษา สสวท.
สอบถามเพิ่มเติม E-mail : strin@ipst.ac.th
                ในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ยุคดิจิตอล ครองเมือง  นับว่ามีความสำคัญอย่างมากที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนเราจำนวนมากขึ้นทุกๆที  แทบจะเรียกได้ว่าปฏิเสธไม่ได้  โดยเฉพาะในอาคารสำนักงาน สถานศึกษาต่างๆ  หรือแม้กระทั่งตามอาคารบ้านเรือน จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานกันทั่วๆไป  การใช้คอมพิวเตอร์นั่งเล่นแชท (Chat) ส่งอีเมล (Email) ดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง ฯลฯ  ซึ่งมักจะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ครั้งละนานเป็นชั่วโมงๆ
                กลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงาน  คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทที่สำคัญในการประกอบอาชีพของคนเราในยุคนี้มากขึ้น  แทบทุกสำนักงานจะเห็นได้ว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นต่างๆ  มีรูปลักษณะต่างๆกับไปตามการใช้งานที่เหมาะสม  สำนักงานสถิติแห่งชาติ  เคยสำรวจการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (IT)  ในสถานประกอบการไทยที่ใช้ไอทีในปี พ.ศ. 2552 มีจำนวนทั้งสิ้น  2,161,327  เครื่อง  จึงทำให้คนสมัยนี้ต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานมากขึ้น
                นายแพทย์สมเกียรติ  ศิริรัตนพฤกษ์  ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม  ได้กล่าวเรื่องนี้ลงใน นิตยสารสุขภาพ (Hospital Healthcare)  ฉบับที่  32  ปีที่  4 เดือน พฤษภาคม  พ.ศ. 2553   สำหรับผู้ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำ  จะมีอาการแสบตา  ปวดตา  ตาแดง  ตาพร่า น้ำตาไหล  ปวดขมับ  อาจจะปวดร้าวตั้งแต่ไหล่ถึงคอ  มีรอยคล้ำรอบๆตา  อาการเหล่านี้เป็นอาการของโรคที่เรียกว่า  โรคคอมพิวเตอร์  วิชั่น ซินโดรม  (Computer vision syndrome – CVS) หรือเรียกสั้นๆว่า โรค ซีวีเอส (CVS) บางครั้งเรียกกันว่า โรคร้ายสำหรับชาวคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีสาเหตุหลักๆก็คือ  การนั่งใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆโดยไม่ได้หยุดพักนั่นเอง  มีโอกาสที่ร่างกายจะได้เคลื่อนไหวในท่าอื่นๆน้อยลง แสงจ้าจากจอคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ต้องนั่งเพ่งหน้าจออยู่นานๆทำให้มีปัญหาทางสายตา    ซึ่งนายแพทย์สมเกียรติกล่าวว่า  โรคนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะคนไทยเท่านั้น  เป็นได้กับคนทั่วโลกทุกชาติ ทุกภาษา
                จากนิตยสาร ชีวจิตร ปีที่ 12 วันที่  16  พฤกษภาคม  2553  หน้า  48 – 53  ได้ชี้ให้ทราบว่า  คนในวัยทำงานตาเสื่อมก่อนวัย  ด้วยภัยจากคอมพิวเตอร์   รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ปริญญ์ โรจนพงศ์พันธุ์  จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  สภากาชาติไทย  กล่าวว่าผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์นั่งทำงานอยู่หน้าจอนานๆ  มีโอกาสเป็นโรค ซีวีเอส ได้  และก็เป็นกันเยอะ
                คุณยุวดี  สุวรรณศักดิ์ชัย  ทำงานเป็นสไตลิสต์ของนิตยสารเล่มหนึ่ง  เล่าปัญหาของเธอให้ฟังว่าตอนที่เรียนด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิกในระดับปริญญาตรี  ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ครั้งละนานๆ  และเมื่อจบออกมาทำงานในฝ่ายศิลปกรรมของนิตยสาร  เธอรักในงานทุ่มเทเวลาในการทำงานมาก  หลายๆครั้งที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่แปดโมงจนกระทั่งถึงสองสามทุ่ม
                ไม่นานเธอเริ่มเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาเด่นชัด  คือเริ่มมีอาการปวดกระบอกตา  ลามไปถึงระหว่างคิ้ว  มองเห็นเป็นจุดดำหลายๆจุดลอยไปมา ตาพร่า ปวดตาน้ำตาไหล สุดท้ายอาการหนักมากใช้สายตาไม่ได้ ทำงานไม่ได้  ต้องไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจรักษา      จึงทราบว่าเป็นอาการของ   โรค ซีวีเอส  ต้องหยุดพักเพื่อรักษาตา
                คุณทรงสมร  เอี่ยมสรรพางค์  เป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์  ต้องทำงานโดยนั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงห้าโมงเย็นทุกๆวัน  สังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเองแต่เนิ่นๆ  คือ  จะปวดศีรษะและดวงตา  ลามไปถึงกระบอกตา  เห็นเป็นแสงระยิบๆ  มีจุดสีดำสีขาวลอยอยู่เต็มไปหมด  จึงได้ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจ  ปรากฏว่าขั้วประสาทตาฝ่อไปประมาณร้อยละ  50  และเริ่มเป็นต้อหินระยะต้น  จึงต้องลดการใช้คอมพิวเตอร์ลง
                คุณน้ำผึ้ง  นะนุนา  ทำงานฝ่ายศิลปกรรมโฆษณากับบริษัทแห่งหนึ่ง    ในการออกแบบโฆษณา
คุณน้ำผึ้งเป็นคนรักในงานที่ทำ ขยัน  นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง  เป็นเวลานานกว่าห้าปี  สังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเอง คือ  มีอาการปวดตา เพ่งดูจอคอมพิวเตอร์นานๆจะรู้สึกปวดตามาก  ตาพร่า  ตาแห้ง  ปวดกระบอกตา  น้ำตาไหล  ต้องไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจ  จึงทราบว่าเป็นโรค ซีวีเอส  คุณน้ำผึ้งจึงปรับพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์อย่างจริงจัง  และใส่ใจสุขภาพดวงตามากขึ้น และต่อมาได้ตัดสินใจลาออกจากงานเมื่อต้นปี พ.ศ. 2553 นี้เอง
                ผมคิดว่าคงจะมีคนที่เป็นโรค ซีวีเอส เนื่องมาจากคอมพิวเตอร์อีกมากมาย  เพียงแต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง  ท่านที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ  เคยสังเกตตัวท่านเองว่าโรคนี้เริ่มมาเยี่ยมกรายท่านบ้างหรือไม่  หมั่นสังเกตไว้นะครับ เพื่อสุขภาพตาของท่านเอง
                หนังสือ  100  เรื่องเด่น ความรู้เพื่อส่งเสริมสุขภาพประชาชน   โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนันสนุนการสร้างสุขภาพ (สสส)  ได้แนะนำเรื่องนี้ที่น่าสนใจ เช่น
                1. โต๊ะวางคอมพิวเตอร์และเก้าอี้นั่ง  ควรมีระดับความสูงที่ไม่ต่างกันมากนัก  ควรอยู่ในระดับที่ผู้นั่งรู้สึกสบาย  ไม่ต้องเกร็งตัว  เพราะท่านั่งที่ไม่ถูกต้องจะส่งผลต่อกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อคอ  ไหล่  แขน  อาจปวดข้อ  ปวดกล้ามเนื้อ  และเส้นเอ็นอาจอักเสบได้
                2.ใช้แผ่นกรองแสงติดหน้าจอเพื่อลดแสงจ้าที่เข้าสู่ตาโดยตรง  หรือปรับแสงหน้าจอไม่ให้สว่างจ้าเกินไป
                3. พักสายตาเป็นระยะ  ใช้สูตรง่ายๆคือ  20-20-20  คือหลังจากใช้คอมพิวเตอร์นาน  20  นาที  ให้พักสายตาโดยมองออกไปไกลๆประมาณ  20  ฟุต  อย่างน้อย  20  วินาที หรือหลับตาพักสายตา  20 วินาที  แทนการมองไกลๆ  ทั้งนี้เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา
                4. ใส่แว่นสายตาที่เหมาะสม
                5. กระพริบตาบ่อยๆเพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำตา ลดภาวะตาแห้ง
                6. กินอาหารบำรุงสายตา เช่น ผักผลไม้ที่มีสีเข้ม และมีวิตามิน เอ บี ซี อี  เช่น  มะเขือเทศ  มะเขือม่วง  กะหล่ำปีสีม่วง ผลไม้ที่มีสีม่วง  ฟักทอง  ผลเบอร์รี่  น้ำคั้นจากดอกอัญชัญ  เป็นต้น

                 สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆทุกๆวัน ต้องหมั่นสังเกตอาการต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับดวงตาของเราเองตั้งแต่เนิ่นๆตามที่กล่าวมาแล้ว เพราะโรคซีวีเอส จะค่อยๆเข้ามาเยี่ยมกรายเราอย่างเงียบๆ  และลองนำคำแนะนำตามที่กล่าวมานี้ไปใช้ดูนะครับ  เพื่อสุขภาพดวงตาของตัวเราเอง  จะได้ห่างไกลจาก โรคซีวีเอส  ไม่ต้องมีอาการปวดอย่างเรื้อรัง ไม่รู้จักหายเสียที  จะได้นั่งทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ  หน้าคอมพิวเตอร์ให้สนุกสนานได้อีกนานๆๆๆครับ...                เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีสำหรับชาวคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป  และผู้ที่กำลังจะเป็นชาวคอมพิวเตอร์นั้น  ควรจะได้ศึกษาเรื่องนี้ไว้ด้วย  โรค ซีวีเอส จะได้ไม่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเราครับ
                                                ................................
                                                 เว็บไซต์ข้อมูลอ้างอิง                                1. http://www.healthcorners.com                                2. http://iam.hunsa.com                                3. http://www.denaeyewear.com                                4. http://www.aoa.org/images                                5. http://www.medicthai.com

โภชนาการของหนอนเยื่อไผ่

เมื่อพูดถึงแมลงที่ใช้เป็นอาหารของคนเรา  ก็นับว่ามีหลายชนิดทั้งแมลงที่เป็นตัวอ่อนและตัวแก่เต็มวัย  และประชาชนในแต่ละภาครับประทานแมลงเป็นอาหารแตกต่างกันไป  แมลงเหล่านี้เช่นจิ้งหรีด  จิ้งโกร่ง  แมลงกินูน  แมลงกุดจี่  แมลงกระชอน  ด้วงสาคู  ด้วงมะพร้าว  ดักแด้ของผีเสื้อไหม  เป็นต้น
               มีตัวอ่อนของแมลงอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมของประชาชนบางภาค  โดยเฉพาะทางภาคเหนือ   ซึ่งเรียกว่า หนอนเนื่อไผ่     ซึ่งเป็นตัวอ่อนหรือหนอนของผีเสื้อกลางคืน  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า    ออมฟิซา   ฟูซิเดนทาลิส    ( Omphisa  fusidentslis ) บางครั้งมักจะเรียกกันว่า หนอนรถด่วน    เหตุที่เรียกกันว่าหนอนรถด่วนก็เพราะว่ามีรูปร่างคล้ายกับตู้รถไฟต่อ ๆ กัน คนพื้นเมืองทางเหนือ  ชาวเขาเผ่าอีก้อ  เรียกว่า คลีเคล๊ะ  ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า ลาโป้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเรียกแตกต่างกันอย่างไร  ก็คือ  หนอนเยื่อไผ่ นั่นเอง  เนื่องจากหนอนชนิดนี้เจริญเติบโตอยู่ในปล้องไม้ไผ่  กินเยื่อไผ่เป็นอาหารจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหนอนเยื่อไผ่ หรือ  หนอนไม้ไผ่     จัดว่าเป็นหนอนที่สะอาดมาก   เนื่องจากช่วงที่เป็นตัวหนอน  จะกินเยื่อไผ่อยู่ในปล้องไม้ไผ่ตลอดเวลา
ผีเสื้อตัวเมียเมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว  ก็จะวางไข่ที่หน่อไผ่ซึ่งเป็นหน่ออ่อน มีอายุประมาณ  10 – 15  วัน  โดยผีเสื้อเพศเมียตัวหนึ่งๆ จะวางไข่ได้ประมาณ  250 – 300  ฟอง  ในช่วงฤดูฝน โดยวางไข่เป็นกลุ่มๆ  ไข่มีสีขาวขุ่น  ในช่วงเดือน  กรกฎาคมถึงสิงหาคม  ก็จะฟักออกเป็นตัวอ่อนหรือตัวหนอน  ภายใน  3 – 6  วัน  ต่อมาตัวอ่อนนี้ก็จะเจาะเข้าไปในหน่อไผ่  เกิดเป็นรูเล็กๆ  และตัวอ่อนก็จะเคลื่อนตัวผ่านรูนี้เข้าไปภายในของปล้องไผ่  จากนั้นตัวอ่อนของหนอนก็จะเจริญเติบโตด้วยการกินเยื่อไผ่ระหว่างการเจริญจะมีการลอกคราบ  5  ครั้ง  ซึ่งใช้เวลานานประมาณ  270 – 300  วัน ก่อนเข้าสู่ช่วงดักแด้   ซึ่งช่วงดักแด้ใช้เวลานานประมาณ  40 – 60  วัน และเจริญกลายเป็นผีเสื้อตัวเต็มวัยในช่วงต้นฤดูฝนในปีต่อมา  หนอนชนิดนี้มีวงชีวิตที่ยาวนานประมาณ  1  ปี  
               หนอนไม้ไผ่พบทั้งในไม้ไผ่ต่างชนิดกันคือมีทั้ง ไผ่ซาง  ไผ่หก  ไผ่บง  ไผ่สีสุก  ถึงแม้จะเป็นไผ่ต่างชนิดกัน  แต่ก็เป็นหนอนชนิดเดียวกัน  การที่จะสังเกตว่าต้นไผ่ต้นใดมีหนอนเยื่อไผ่  ภูมิปัญญาชาวบ้านให้ความรู้ว่า  ถ้าพบไผ่ต้นไหนมีขนาดปล้องค่อนข้างสั้น  และมีสีแตกต่างจากต้นอื่น  ก็มีโอกาสเจอหนอนชนิดนี้ได้มาก  แต่ถ้าเพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้น  ให้ลองพิจารณาดูรูเล็ก ๆ ที่โคนของต้นไผ่ประมาณปล้องที่หนึ่งหรือปล้องที่สอง  ซึ่งเป็นรูที่ผีเสื้อจะออกมา  ถ้าหากพบก็แทบจะแน่ใจได้ว่า  ไผ่ต้นนี้มีหนอนรถด่วนอาศัยอยู่ด้วย
เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าทางสารอาหารจากหนอนเยื่อไผ่  ซึ่งเฉลี่ยแต่ละตัว   หนัก  0.61 กรัม ปริมาณ คิดเป็น  ร้อยละ โดยน้ำหนัก จะประกอบด้วย
                 โปรตีน                 ร้อยละ   0.18
                 ไขมัน                   ร้อยละ   0.20
มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย  เมื่อเทียบตามน้ำหนัก  ได้แก่
               ทรีโอนีน              ร้อยละ   1.15    ไอโสลิวซีน            ร้อยละ   0.94
               ซิสตีน                  ร้อยละ   0.28    ลิวซีน                   ร้อยละ   2.05      
               วาลีน                    ร้อยละ   1.60    เฟนิลอะลานีน       ร้อยละ   0.63
               เมธิโอนีน             ร้อยละ   0.66    ไลซีน                   ร้อยละ   1.66
       ปัจจุบันหนอนเยื่อไผ่เป็นที่นิยมรับประทานกันมากขึ้น    มีการส่งไปจำหน่ายตามตลาดใหญ่ ๆ ในจังหวัดต่างๆหลายแห่ง รวมทั้งในกรุงเทพฯโดยใส่กล่องพลาสติกสวยงาม.
 --------------------------------------